วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

จำปีจำปา สองพี่น้อง


ไม้ดอกไม้ประดับ

ไม้ดอกไม้ประดับเป็นพันธุ์ไม้ที่เราปลูกไว้เพื่อความสวยงาม ใช้ประดับตกแต่งอาคารบ้านเรือนให้เกิดความร่มรื่น สวยงาม และเจริญตา ซึ่งไม้ดอก คือ พันธุ์ไม้ที่นำดอกมาใช้ประโยชน์ เช่น กุหลาบ, กล้วยไม้ หรือเบญจมาศ เป็นต้น ส่วนไม้ประดับ คือ พันธุ์ไม้ที่ใช้ความสวยงามของรูปทรง ลำต้น ใบเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้คำนึงถึงดอก เช่น เฟิร์น, สาวน้อยประแป้ง หรือโกศล เป็นต้น ซึ่งไม้ดอกไม้ประดับจะมีขนาดเล็กหรือขนาดย่อมพอเหมาะแก่พื้นที่จัดตกแต่ง อาจปลูกไว้ในกระถาง ปลูกลงดิน หรือแขวนห้อยไว้ก็ได้ แต่จะนำเสนอความแตกต่างของดอกจำปีและดอกจำปา ที่หลายๆคนสับสนว่าอันไหนคือจำปี อันไหนคือจำปา
 
 
จำปี
 




ชื่อวิทยาศาสตร์ Michelia longifolia Bl.

ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นอายุประมาณ 10-15 ปี ใบยาว 20 เซนติเมตร หนา สีเขียวเข้ม ใบมนรี ปลายใบแหลม ริมใบเกลี้ยง ดอกจะออกตามโคนก้านใบที่อยู่บริเวณยอดของลำต้น ใบละดอก มีสีขาวจนถึงเหลืองอ่อน ดอกจะบานตอน 2-3 ทุ่ม จำปีจะเริ่มให้ดอกเมื่อต้นมีอายุ 1 ปี ถึงปีครึ่ง และช่วงที่ให้ดอกมากที่สุดตั้งแต่ 3-5 ปี โดยจะให้ดอกเฉลี่ย 50 ดอกต่อต้น

การขยายพันธุ์ ควรใช้วิธีการตอนกิ่ง โดยเลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนจากต้นที่ให้ผลผลิตสูง และควรตอนในฤดูฝนเพราะรากจะงอกง่าย

การเตรียมดิน พรวนดินและพลิกดินขึ้นตากผสมปุ๋ยคอกและปูนขาวพึ่งไว้ 1 สัปดาห์ จากนั้นก็ขุดหลุมขนาด 1*1*1 เมตร ตากดินให้แห้งแล้วจึงผสมด้วยปุ๋ยคอกมูลสัตว์ 1 ปุ้งกี๋ ไว้กลบลงในหลุม รองก้นหลุมด้วยเศษกระดูกสัตว์ก่อนปลูก หากจะปลูกเพื่อเก็บดอกจำหน่าย ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 4 เมตร ระหว่างแถว 6 เมตร ถ้าเป็นพื้นราบ แต่หากปลูกแบบยกร่องให้ปลูกเป็นแถวเดียว ระยะเวลาที่เหมาะสมกับการปลูกคือ ปลายฤดูฝนตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม และก่อนหลังฤดูแล้งคือตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม

การให้น้ำ หลังปลูกเสร็จแล้วควรรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น จนกว่าต้นจะตั้งตัวได้จึงรดน้ำวันละครั้ง แต่หากเป็นหน้าแล้งควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เนื่องจากหากได้น้ำไม่เพียงพอก็จะออกดอกน้อย

การให้ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 หรือ 14-14-14 (50 กิโลกรัม/ไร่) เดือนละครั้ง โดยหยอดเป็นหลุมรอบทรงพุ่มแล้วกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนปุ๋ยคอกและปูนขาวให้ใส่ปีละครั้งพร้อมการพรวนดิน

จำปี ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ดังคำด้านล่าง

จันทน์หอมจันทน์คณาจะลาจร
มะลิซ้อนซ่อนชู้อยู่จงดี
ลำดวนเอ๋ยเจ้าด่วนไปก่อนแล้ว
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี
จำปี เอ๋ยกี่ปีจะมาพบ
ที่มีกลิ่นก็จะคลายหายหอม
จะพลอยตรอมเหือดสิ้นกลิ่นตลบ
ที่มีดอกก็จะวายระคายครบ
จะเหี่ยวแห้งเซาซบสลบไป
 
 
สรรพคุณของดอกจำปี  ดอกแก้เป็นลม แก้ไข้ บำรุงหัวใจ ขับน้ำดี บำรุงโลหิต


จำปีจะมีดอกสีขาวกว่าดอกจำปา
 
 
จำปา



ชื่อวิทยาศาสตร์ Michelia champaca L.

ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง อายุประมาณ 5-6 ปี เป็นทรงพุ่มค่อนข้างเตี้ย สูงเฉลี่ย 20 ฟุต ใบมีขนาดเล็กกว่าจำปีคือยาวประมาณ 15 เซนติเมตร สีเขียวอ่อน มีขนบาง ๆ ตามกิ่งและลำต้นมีตุ่มละเอียด ดอกมีสีเหลืองอมส้ม เป็นดอกเดี่ยว แต่ออกดอกรวมกันเป็นช่อ ตามโคนก้านใบส่วนยอด เริ่มออกดอกเมื่ออายุ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง ให้ดอกมากที่สุดเมื่ออายุ 3-5 ปี เฉลี่ย 70 ดอกต่อต้น และออกดอกตลอดปี ดอกจะบานเวลาตี 2–ตี 3

การขยายพันธุ์ นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะ แล้วจึงย้ายกล้าลงชำในกระถาง จนอายุ 3-6 เดือน จึงย้ายปลูกลงดิน จะไม่นิยมการตอนกิ่งเนื่องจากไม่ค่อยออกราก

การเตรียมดิน พรวนดินและพลิกดินขึ้นตากผสมปุ๋ยคอกและปูนขาวพึ่งไว้ 1 สัปดาห์ จากนั้นก็ขุดหลุมขนาด 1*1*1 เมตร ตากดินให้แห้งแล้วจึงผสมด้วยปุ๋ยคอกมูลสัตว์ 1 ปุ้งกี๋ ไว้กลบลงในหลุม รองก้นหลุมด้วยเศษกระดูกสัตว์ก่อนปลูก หากจะปลูกเพื่อเก็บดอกจำหน่าย ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 4 เมตร ระหว่างแถว 6 เมตร ถ้าเป็นพื้นราบ แต่หากปลูกแบบยกร่องให้ปลูกเป็นแถวเดียว ระยะเวลาที่เหมาะสมกับการปลูกคือ ปลายฤดูฝนตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงธันวาคม และก่อนหลังฤดูแล้งคือตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม

การให้น้ำ หลังปลูกเสร็จแล้วควรรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น จนกว่าต้นจะตั้งตัวได้จึงรดน้ำวันละครั้ง แต่หากเป็นหน้าแล้งควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เนื่องจากหากได้น้ำไม่เพียงพอก็จะออกดอกน้อย

การให้ปุ๋ย ควรใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 หรือ 14-14-14 (50 กิโลกรัม/ไร่) เดือนละครั้ง โดยหยอดเป็นหลุมรอบทรงพุ่มแล้วกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนปุ๋ยคอกและปูนขาวให้ใส่ปีละครั้งพร้อมการพรวนดิน

 สรรพคุณของดอกจำปี
ใบ - แก้โรคเส้นประสาทพิการ แก้ป่วงของทารก
ดอก - แก้วิงเวียนอ่อนเพลีย หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ กระจายโลหิต
เปลือกต้น - ฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้เสมหะในลำคอเกิด
เปลือกราก - เป็นยาถ่าย ทำให้ประจำเดือนมาปกติ รักษาโรคปวดตามข้อ
ระพี้ - ถอนพิษผิดสำแดงเนื้อไม้ - บำรุงโลหิตราก - ขับโลหิตสตรีที่อยู่ในเรือนไฟให้ตก


จำปาจะมีสีเหลืองนวลดูสดกว่าจำปี
 


 

ชวนชม


ชวนชม
 
 
           ชวนชม เป็นพรรณไม้ที่มีสีสันของดอกสวยงามสะดุดตา มีรูปทรงของต้นและกิ่งก้านที่สวยงามและอ่อนช้อยนุ่มนวล เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแห้งแล้งจนได้รับสมญาว่า Desert Rose หรือ "กุหลาบทะเลทราย" นอกจากนี้ชวนชมยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของคนไทย แม้แต่ชาวจีนซึ่งเรียกชวนชมว่า "ปู้กุ้ยฮวย" หรือ ดอกไม้แห่งความร่ำรวยก็ยังมีความหมายไปในทางสิริมงคลเช่นกัน
ชวนชมมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาค้นพบครั้งแรกโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ

P. Forskal ทางภาคตะวันออกของทวีปแอฟริกาแถบประเทศแทนซาเนียและเคนย่าราวปี พ.ศ.2305 แต่กลุ่มนักพฤกษศาสตร์ในสมัยนั้นเชื่อว่าไม้ดอกที่พบเป็นเพียงลั่นทมพันธุ์ใหม่ และในราวปี พ.ศ.2357 นายโจเซฟ ออกัสต์ ซูลตส์ ( Josef August Schultes )

นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชวนชมกับลั่นทม จนเป็นที่ยอมรับว่า ชวนชมคือดอกไม้ชนิดใหม่




 

 
             สำหรับในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้นำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงตั้งแต่เมื่อใด แต่จากหลักฐานพอสันนิษฐานได้ว่า มีการนำชวนชมเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว โดยผ่านทางราชสำนักหลังการเสด็จประพาสต่างประเทศ เพราะมีการพบเห็นชวนชมปลูกอยู่ในเขตพระราชวังและวังเจ้านายทั่วไป จากการสืบค้นของ อาจารย์วิชัย อภัยสุวรรณ (ผู้เขียนหนังสือ "ไม้ดอกและประวัติไม้ดอกเมืองไทย") ทราบว่า อย่างน้อยที่สุดคนไทยรู้จักเล่นชวนชมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีองค์ที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้ทรงนำพันธุ์ชวนชมเข้าไปปลูกในพระตำหนักลักษมีวิลาศ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าทรงนำต้นชวนชมมาจากแหล่งใด แต่ที่ปรากฏแน่ชัดคือ พระองค์ประทานชื่อดอกไม้นี้ว่า "ชวนชม"



ลักษณะโดยทั่วไป







               ชวนชมเป็นพืชที่มีเนื้อเยื่ออ่อน เปลือกของลำต้นบาง ต้นและกิ่งก้านกลมมียางใส จัดเป็นพืชในวงศ์ Apocynaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับลั่นทม พืชในวงศ์นี้มีมากมายถึง 300 สกุลและมากกว่า 1,300 ชนิด มีทั้งไม้ล้มลุก ไม้เลื้อย ไม้พุ่มและไม้ยืนต้น มีถิ่นกำเนิดกระจายอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะในป่าเขตร้อน สำหรับชวนชมถูกจัดอยู่ในสกุล Adenium obesum มีถิ่นกำเนิfอยู่ในทวีปแอฟริกา มีหลายชื่อ เช่น Pink Bignonia, Mock Azalea, Desert Rose, Impala Lily, Kudu Lily และ Sabi Star

ลำต้น

      เป็นไม้เนื้ออ่อน อวบน้ำ ต้นและกิ่งเป็นลำกลม ผิวค่อนข้างเรียบสีเขียวอมเทา เปลือกบาง แตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ ส่วนโคนของลำต้นพองออกมีขนาดรูปทรงใหญ่เล็กแตกต่างกันไปเรียกว่า " โขด " มีไว้สำหรับเก็บน้ำเพื่อรักษาสมดุลของต้น
 
  โขด

     ของชวนชมคือรากที่ใช้สะสมอาหาร เช่นเดียวกับ เผือก มัน หรือพืชที่มีหัวทั่วไป มีลักษณะบวมออกเป็นหัวขนาดใหญ่อยู่ใต้ดินหรือโผล่ขึ้นเหนือดินมีรูปทรงแตกต่างกัน

ใบ

         เป็นใบแบบเดี่ยว ออกเวียนรอบกิ่งคล้ายกังหันหลายๆ ชั้น และออกหนาแน่นตามปลายกิ่ง ใบของชวนชมมีหลายลักษณะแตกต่างกันขึ้นกับสายพันธุ์ เช่น ใบรูปไข่ ใบรูปหอก ปลายใบมีทั้งเว้า มน แหลมและใบตัด ขอบใบเรียบ หยักหรือเป็นคลื่น แผ่นใบหนาแข็งเขียวเข้มเป็นมันหรือบางพันธุ์มีขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ที่ใต้ท้องใบ มีขนาดใหญ่และเล็กแตกต่างกันไป


ดอก

    ชวนชมจะออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งประมาณ 10-20 ดอก มีทั้งแบบบานพร้อมกันทั้งช่อและทยอยบานครั้งละ 4-5 ดอก บานได้นาน 10-20 วัน ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 8-10 ซม.

     กลีบเลี้ยง มีลักษณะเป็นกลีบเล็กๆ 5 กลีบ รูปรี ปลายแหลม ติดอยู่รอบโคนดอกเหนือฐานรองดอก มีสีแดง เขียว ชมพูอมแดงหรือเหลืองอมเขียว เมื่อดอกร่วงแล้วกลีบดอกยังติดแน่นอยู่ที่ฐานรองดอก
    โคนกลีบดอกหรือหลอดดอก คือส่วนที่อยู่ต่อจากกลีบเลี้ยงขึ้นมามีลักษณะเป็นทรงกรวยกลมยาว โคนหลอดเรียวเล็กลงติดกับกลีบเลี้ยง ปลายบานออกติดกับกลีบดอก
  กลีบดอก มี 5 กลีบ เรียงติดอยู่รอบโคนกลีบดอกหรือหลอดดอกคล้ายปากแตร แต่ละกลีบมีรูปทรงหลายแบบ คือ รูปกลม รูปไข่ รูปแถบและรูปรี
      เกสรตัวผู้ อยู่ตรงส่วนโคนของหลอดดอก เป็นรูปกระโจมคลุมยอดเกสรตัวเมีย ประกอบด้วยละอองเรณู 5 อันเรียงติดกันบนก้านชูเกสรตัวผู้ มีโคนระยางค์เชื่อมต่อจากปลายเกสรตัวผู้ยาวขึ้นไปตลอดหลอดดอก 5 เส้น ภายในอับละอองเรณูนี้เมื่อแก่พร้อมที่จะผสมเกสร จะมีละอองเกสรตัวผู้มีลักษณะเป็นขุยสีเหลืองละเอียด
เกสรตัวเมีย อยู่ตรงส่วนโคนของหลอดดอก ล้อมรอบด้วยเกสรตัวผู้ ประกอบด้วยยอดเกสรตัวเมีย ก้านชูเกสรตัวเมีย และรังไข่ ยอดเกสรตัวเมียมีรูปกลมสีขาวขุ่น มีท่อยาวลงไปที่รังไข่ซึ่งอยู่ติดกับฐานรองดอก ภายในรังไข่มีไข่อ่อน เมื่อเกสรตัวเมียพร้อมที่จะผสมเกสรจะมีเมือกเหนียวคล้ายแป้งเปียก และเมื่อมีการผสมพันธุ์ไข่อ่อนภายในรังไข่จะเจริญไปเป็นเมล็ดต่อไป




                                                                                                                              ฝักหรือผล

มีลักษณะคล้ายบูมเมอแรงหรือเขาคู่เป็นฝักสองฝักอยู่ติดกัน ปลายและโคนเรียวแหลมยาวประมาณ 10-30 ซม. ขั้วของฝักอยู่ตรงตะเข็บแนวเชื่อมระหว่างเขาทั้งสอง ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อนตะเข็บแนวเชื่อมจะแตกออก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อนเล็กๆ คล้ายเมล็ดข้าวเปลือก มีขนสีน้ำตาลอ่อนเป็นพู่ติดอยู่ที่ปลายแหลมทั้งสองข้าง ขนที่ปลายทั้งสองนี้จะช่วยให้เมล็ดปลิวไปตามลมได้ไกล
  

ที่มา http://www.panmai.com/DesertRose/DesertRose_1.sh